Wellcome to EBM group

ยินดีต้อนรับน้องๆทุกคนค่ะ ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเรียนEvidence Based Medicine ของภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชนโรงพยาบาลหาดใหญ่


Staffs


Showing posts with label แฟมเมด. Show all posts
Showing posts with label แฟมเมด. Show all posts

22/07/2009

บันทึกรัก cororanod (ต่อ)


blog ที่รัก

สวัสดีวันพุธ

สายฝนที่พรั่งพรูตลอดในช่วงเช้า ต้อนรับวันพิเศษๆ วันนี้เป็นการ rotate ครั้งสุดท้ายของพวกเราล่ะ ก้องฝน ไปอยู่ OPD ส่วนแป๊กแปดไปคลินิกใกล้ใจ ฝนตั๊กไปอยู่ที่คลินิกเวชฯ และน้องพิวไปอยู่ที่CMU และที่สำคัญคือเช้าวันนี้เป็นวันที่มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งก็คือ สุริยุปราคา แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ที่ระโนดฝนตกทำให้พลาดปรากฏการณ์ครั้งนี้ไป

ชีวิตในOPD ก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนอยู่ที่ CMU สักเท่าไหร่ ดีหน่อยที่เคสไม่ได้มากนัก อาจจะเป็นเพราะมีแพทย์หลายคนที่ตรวจ ไม่ได้ตรวจเคสเด็ก เพราะว่ามีแพทย์เฉพาะทางสาขาเด็กที่นี่ งานสบายกว่า CMU ที่มีแพทย์ตรวจปกติแค่คนเดียวคือพีเกตุ แต่พอมี Ext มาช่วยก็ลดปริมาณงานลงได้อย่างดี ขาดแต่นศพ.อย่างเราที่ดูเหมือนจะเพิ่งงานที่ต้องดูแลและสอนเราอยุ่ไม่น้อยเลย

สำหรับ OPD วันนี้เป็นที่แปลกใจสำหรับตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบตรวจ OPD หรือการที่จะต้อง explore illness คนไข้ แต่วันนี้สามารถที่จะ ค้นหา illness ของคนไข้ได้โดยไม่รู้ตัว อาจจะเป็นข้อดีของการที่ได้ไปตรวจที่ CMU เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่า น่าเบื่อสำหรับการคุยกับผู้ป่วยนานๆ และพยายามที่จะย่นระยะเวลาที่จะคุยกับผู้ป่วยทุกเมื่อถ้าเป็นไปได้ แต่มาวันนี้ กลับให้ความสำคัญกับการพูดคุยมากขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น อย่างน้อยที่สุดวันนี้ความโกรธคนไข้ที่คุมน้ำตาลหรือคุมความดันได้ไม่ดีก็ลดลง

คุณป้าอายุประมาณ 65 ปี มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง แต่กลับคุมความดันได้ไม่ดีเลย วันนี้ ความดัน 200/110 mmHg นึกอยากบอกป้าว่ามันอันตราย ทำไมถึงปล่อยให้ความดันสูงได้ขนาดนี้ กินยาประจำหรือเปล่า.... แต่ได้ถามป้าไปแค่ว่า ป้าอยู่บ้านกับใครเหรอ วันนี้ใครพามาโรงพยาบาล เพียงแค่นี้ น้ำตาของคุณป้าก็เอ่อล้น เสียงสั่นเครือบอกถึงความทุกข์ระทมที่ได้รับ ลูกมีหลายคนแต่ก็อยู่ต่างจังหวัดกันหมด มีลูกสาวอีกคนที่อยู่ด้วยกัน แต่เค้าก็ไม่ดูแล มาโรงพยาบาลก็ต้องมาเอง ไม่มีคนมาส่ง ปกติจะรับยาอยู่ที่อนามัยใกล้บ้าน แต่ว่าเนื่องจากความดันยังคุมได้ไม่ดี อนามัยจึงให้มารับยาที่ โรงพยาบาล วันนี้ที่มาโรงพยาบาลได้ก็ด้วยติดรถส่งน้ำแข็งที่มาส่งที่โรงพยาบาล เล่าไปน้ำตาก็ยิ่มเอ่อล้น นอกจากจะสั่งยาให้ป้าแล้วก็ได้ไปปรึกษากับพยาบาลที่ดูแลคลินิกความดันโลหิตสูง คอยดูแลต่อเนื่อง ทั้งในด้านการรับยา ทั้งเรื่องบ้านและครอบครัวอีกด้วย

อีกเคส เป็นผู้ป่วยเบาหวาน ที่ตอนหลังๆ ระดับน้ำตาลสูงมากถึงสามร้อยติดต่อกัน สามสี่ครั้ง ตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ยาฉีดและผ่านการปรับอินซูลินใหม่หลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะคุมน้ำตาลได้ คุยกันไปคุยกันมาถามว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ที่บ้านเป็นอย่างไร สรุปว่าอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก ผู้ป่วยก็อายุ 60กว่าปีแล้ว ฉีดยาเองก็ไม่กล้าฉีด มองยาในเข็มไม่เห็น ส่วนลูกชายช่วงที่ต้องฉีดยามื้อเย็นก็มักจะไม่อยู่บ้านทำให้ในแต่ละสัปดาห์ต้องขาดการฉีดอินซุลิน ประมาณ สาม ถึง สี่ ครั้ง ทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี จะกลับไปกินยาก็ไม่ได้เพราะว่า renal impairment ก็เป็นปัญหาที่ต้องจัดการกันต่อไป

ถ้าเรารู้เบื้องหลัง หรือ background ของผู้ป่วยซึ่งในบางมุมผู้ป่วยมักจะไม่ยอมบอกให้แพทย์ทราบ เราเองต้องเป็นคนที่จะexplore ออกมาให้ได้เพื่อประโยชน์ของคนไข้และการดูแลคนไข้อย่างเป็นองค์รวม ทั้งกาย จิต สังคม และ ปัญญา การเรียนรู้ที่ตั้งเป้าไว้ทั้งหมดก็สามารถจะได้กลับไปจากการฝึกปฏิบัติจากโรงพยาบาลชุมชนแห่งนี้

จวบจนเย็น แม้ตะวันจะคล้อยต่ำจนล่วงลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่สายฝนก็ยังไม่หยุดร่วงหล่น เหมือนกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าบอกว่า อีกเพียงไม่กี่โวโมงหลังจากนี้ก็จะต้องลาจาก ระโนดกลับไปยังดินแดนที่เรียกกันว่าความเจริญ หรือสังคมเมืองในหาดใหญ่

19/07/2009

บันทึกรัก Cororanod (ต่อ)

blog ที่รัก

สวัสดีวันจันทร์

เช้านี้ตื่นนอน 6 โมงล่ะ เมื่อคืน กลัวกันอยู่ว่าจะไม่มีน้ำอาบเพราะ น้ำมันไม่ยอมไหลเลย เพิ่งมาไหลเอาตอนดึกๆแล้วล่ะ ที่กลัวไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพราะน้ำเหลือแค่ก้นถัง และตอนเช้าของทุกวันจะไม่มีน้ำไหนเนื่องด้วย คนจะยิ่งแย่งกันใช้น้ำเป็นพิเศษ

วันนี้เปลี่ยนกลุ่ม Rotate อีกแล้ว ก้องและฝน ต้องออกไปอยู่ CMU กับพี่เกตุ น้องพิวฉายเดี่ยวที่คลินิกใกล้ใจ แป๊กแปดไปคลินิกเวชปฏิบัติฯที่ในตลาด ฝนตั๊กออก OPD เริ่มต้นราวด์วอร์ด ด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นพอสมควร (ทำตัวเหมือนไม่เคยราวด์)เพราะว่าปกตินั้นต้องออกชุมชนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าโชคร้ายของเราที่ได้เยี่ยมบ้านแค่ 1 ครั้ง เพราะว่าฝ่ายเวชฯทั้ง คลินิคเวชฯและใกล้ใจนั้นติดประชมช่วงบ่าย(เป็นช่วงเวลาเยี่ยมบ้านปกติ) เลยอดที่จะไปเยี่ยมบ้านสำรวจชุมชน อย่างที่เขียนเล่าไปคราวก่อน ประสบการณ์แม้จะน้อยนิด แต่ก็ช่วยสอนให้เราได้รู้เรื่องเกี่ยวกับFammed อยู่มากเลยทีเดียวในการเยี่ยมบ้าน ได้ทั้งข้อคิดทั้งดีและไม่ดีกลับมา

ตอนเช้าก็ต้องไปราวด์วอร์ดกับพี่เกตุก่อน ในเคสที่เป็นของพี่เกตุล่ะ ไม่ได้เยอะมากอะไร ที่นี่เคสที่admit แพทย์ที่เป็นคนadmitก็จะเป็นเจ้าของไข้โดยปริยาย รวมถึงคนไข้ที่ admit ในเวรอีกด้วย ช่วงนี้ไม่ใช่เวรพี่เกตุเคสเลยน้อย ราวด์กันอย่างสบายๆ ราวด์เสร็จก็รอรถมารับไป CMU แดดร้อนจัง

คนไข้ที่ศูนย์สุขภาพชุมชน (วัดเบิก) ที่นี่คนเยอะพอๆกับ OPD โรงพยาบาลเลย คิดว่าอย่างนั้น แต่ด้วยการตรวจคนไข้ของพวกเราที่พี่เกตุเน้นเรื่องfammed เสียเหลือเกินทำให้ต้องพูดคุยอยู่นานมากๆ ดูว่าillness ของผู้ป่วยนั้นคืออะไร concern เรื่องอะไรเป็นพิเศษถึงได้มาพบแพทย์ครั้งนี้ ลึกซึ้งยิ่งนัก ทำให้อาการไม่ชอบการตรวจ OPD ของเรายิ่งกำเริบ อะไรกันนักกันหนาเนาะ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละ ข้อดีคือ เราสามารถรู้ได้อย่างตรงจุดว่าคนไข้ต้องการอะไร แต่...คนไข้คงอึดอัดอยู่ไม่น้อยสำหรับบางคนที่ต้องรอน๊านนาน หมอก็ถามอยู่นั้นแหละ มีคนไข้รายนึง ถามไปถามมา จริงๆก็มาเพื่อที่จะหยุดงานหรอก ไม่ต้องไปทำงาน CCคือปวดหลังมา 2 วัน เป็นๆหายๆอย่างนี้มา 2 ปีแล้ว ครั้งจะให้เปลี่ยนงานบริการที่ต้องยกของหนักๆ ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน ถ้าเจออย่างนี้แล้ว จะยังให้เขาลาหยุดหรือเปล่านะ?? มาขอใบรับรองแพทย์ ก็เลยให้ไปแค่ว่ามาตรวจจริงวันนี้ จะไปว่าเค้าอู้งานก็ไม่ได้เพราะว่าไม่มีหลักฐานอะไรเสียหน่อย หลังก็ปวด แต่ก็เดินได้ ทำงานได้ ไม่เป็นอะไรมาก คนไข้ก็ตอบเลี่ยงๆเวลาถามถึงอาการว่าเป็นอย่างไร บอกแค่ ก็ปวดๆอย่างนั้นๆ เราก็ไม่เข้าใจ ว่าปวดอย่างนั้นๆ หมายความว่าอะไร ถึงจะพูดใต้ได้บ้าง แต่สำนวนและความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดบางอย่าง เราไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าหมายถึงอย่างไร อย่างคนลาว หากเราต้องการให้เขาช่วยอะไรแล้วคำตอบออกมาว่า "เดี๋ยวจะช่วยไปดูให้" ก็จะหมายความว่า สิ่งที่เราขอน่ะเป็นไปไม่ได้เลย เป็นการตอบปฏิเสธของคนลาว ที่ไม่ให้ช้ำใจนัก แต่พอคนไทยได้ยินแบบนั้น ก็จะเข้าใจว่า พอจะมีความหวังอยู่บ้าง ภาษาก็เป็นเสียอย่างนี้แหละ คงต้องกลับไปเรียนภาษาใต้เสียใหม่ก็เราไม่ใช่ native speaker นี่นาจะได้เข้าใจอะไรลึกซึ้ง ขนาดเพื่อนๆเราเอง พูดภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำยังไม่เข้าใจกันเลย ปากบอกไม่เป็นไรไม่เป็นไร แต่หน้าตาที่ยิ่งกว่ารังเกียจ เป็นต้น

เรียนรู้อะไรได้เยอะนะ ที่นี่ค่อนข้างจะ realistic พอสมควรเลย พอทำงานจริงๆ จะได้รู้ว่าอะไรที่ฟังดูสวยงาม ดูเป็นระบบ น่าเรียนรู้ ข้างในนี่กลับกลวงโบ๋ เหมือนพวกขายฝัน ที่เร่ขายฝันให้คนอื่นทำ พอมีคนทำสานฝันให้เป็นจริง คนขายฝันดูจะได้กำไรจากการขายมากโขทีเดียว สภาพที่เห็นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเอาไว้ คงไม่ปฏิเสธว่าคนส่วนมากมักจะพูดอะไรๆให้มันดูดีเกินจริง จำเป็นด้วยเหรอ พอเราเข้ามาสัมผัสมันกลายเป็นว่า จินตนาการครั้งแรกเราทำไว้สูงเกินไป พอมาเจอความเป็นจริง อุปสรรคต่างๆ ความเพ้อฝันดูเลือนลางเหลือเกิน

ตอนเที่ยง กินข้าวปิ่นโตกันสองคน พี่ๆก็มีบ้างที่ทำข้าวกล่องมากินด้วยกัน กินกันเงียบๆ ต่างคนต่างกิน เหอะๆ ที่นี่สบาย บรรยากาศดีแม้คนไข้จะเยอะมาก เพราะทำอะไรๆได้เทียบเท่าโรงพบาบาลที่เป็น opd case ที่เหลือนอกเหนือความสามารถ ก็ส่งไปยังโรงพยาบาล เงียบเหงา แม้เสียงข้างนอกจะอึกทึกครึกโครม ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจต่างหาก กับข้าวแม้เป็นต้มปลาคาวๆ ไข่เจียวน้ำมันเยิ้ม กับแกงกะทิใส่มะระ ก็พอประทังความหิวไปได้ ไม่อดตาย ชีวิตนี้คิดว่าตัวเองติดดินแล้วนะ มีบ้างที่ต้องทำตัวบินได้เพื่อเข้าสังคมจอมปลอม แต่พื้นฐานชีวิตเราก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย พอมาอยู่ที่นี่ทุกวันนี้ต้องกลายเป็นลูกคุณหนูในสายตาคนอื่นๆ เรื่องมาก น้อยใจ แต่พูดอะไรไม่ได้หรอก ใครสักคนคงเข้าใจเราบ้าง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เสียใจกับคำพูดของเพื่อนบางคน เสียใจกับอะไรหลายๆอย่างที่ต้องเจอที่นี่ นั้นอาจะเป็นเพียงเพราะเราคิดไปเองก็ได้ ถ้าเราเป็นคนไม่คิดอะไรเลย ก็ดีจะได้ไม่เจ็บ แต่คงเป็นคนที่เพื่อนๆหมั่นไส้อยู่ล่ะมั้ง...

มาอยู่นี่ถึงไม่ได้เป็นเพื่อนรักของใคร ไม่ได้เป็นคนที่... เอ่อ ง่ายๆ อะไรก็ได้ ดูไม่ติดดิน แต่ระโนดก็ทำให้เราได้พิสูจน์ใจ หรืออะไรๆของใครหลายๆคน มองในแง่ดี ก็ดีแหละ อะไรๆมันก็จะดีขึ้นมาเอง

ตอนบ่ายก็คงยังจะต้อง explore illness ของคนไข้ต่อไป พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มันก็เป็นไปอย่างนั้น อีกไม่กี่วันก็กลับแล้ว สู้เค้าทาเคชิ ชีวิตคนถ้าขาดอุปสรรคมันก็แย่เนาะ จะได้ทำให้เราเข้มแข็ง และสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้...

18/07/2009

บันทึกรัก cororanod (ต่อ)

blogที่รัก

สวัสดีวันศุกร์

หายหน้าหายตาไปไม่ได้อัพบล๊อกหลายวัน คิดถึงเหลือเกิน เนื่องด้วยต้องปั่นรายงานเยี่ยมบ้าน และเตรียม case conference จากเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา หลังจากตอนเช้าที่ต้องไปชมรมผู้สูงอายุ แล้วก็ได้ถูกเชิญให้พูดกับกลุ่มผู้สูงอายุอีกเช่นเคย "ไข้หวัดใหญ่ 2009" นอกจากจะทำหน้าที่วัดความดันโลหิตแล้วก็ ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ในการควบคุมความดันโลหิต อันที่จริงๆแล้วการได้มาอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เรียนรู้งาน ที่ในอนาคตเราอาจจะไม่ได้ทำเอง แต่ว่าเป็นงานที่เราควรต้องเข้าใจว่าทำอย่างไรเพื่อจะได้จัดการได้อย่างถูกต้อง... มาทำงานร่วมกับพี่ๆพยาบาลเวชฯ แล้วก็อสม. ผู้นำหมู่บ้าน ทำให้รู้ได้เลยนะว่า กว่าจะสำเร็จลุล่วงไปได้ในแต่ละอย่าง ต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างมาก หมออย่างเราส่วนมากก็อยู่โรงพยาบาลไม่ได้ลงมาสัมผัสกับผู้ป่วย ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆหรอก แม้จะพยายาม explore illness ขนาดไหนแล้วก็ตาม มันก็เป็นเพียงการคาดเดากว่าครึ่งว่า จริงๆแล้วคนไข้ของเราต้องการอย่างนั้น หรือชีวิตเค้าน่าจะเป็นอย่างนี้ เอาเข้าจริงก็เดาผิดหรอก ชีวิตจริงๆใช่เป็นอย่างนั้นไม่

วันพฤหัสฯตอนบ่ายไปเยี่ยมบ้าน ที่ค้างว่าจะเล่าให้ฟังวันก่อน แต่ว่าหมดเวลาไปกับการเตรียมงาน present ซะหมด บ้านคุณกมลพร เป็นเคสที่ครั้งไปทำประชาคมหมู่บ้าน แล้วพี่พยาบาลแนะนำให้รู้จักแล้วประทับใจในความสำเร็จ การช่วยเหลือ โดยทุกๆคนในชุมชนเข้ามามีบทบาทในชีวิตแกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ตลอด 7 ปีที่ต้องทนกับ การเป็นอัมพาต ทำทุกวิถีทางจนเอาชนะมันมาได้ และเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักของใครหลายๆคนในชุมชน แม้จะถูกสังคมปรามาสว่าเป็นผู้พิการ เป็นภาระสังคม แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะพยายามจนไม่เป็นภาระของใครๆ

บ้านไม้โทรมๆที่ไร้ไฟฟ้า ผืนดินทางเข้าบ้านที่เดิมเคยเป็นชายหาดชายทะเลมาก่อน ทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยเศษเปลือกหอยที่ดารดาษปะปนกับเม็ดทราย พุ่มไม้น้อยๆข้างบ้านดูจะรกเรื้อมานาน ไร้ผู้คนดูแลแทบจะกลายเป็นป่ารกขนาดย่อม โอ่งปูนสี่ห้าใบคอยรองน้ำฝนเก็บไว้กินไว้ใช้ บ้านช่องมีของใช้ระเกะระกะอยู่หน้าชาน ที่มีเพียงฝากั้นไว้หน่อยแยกออกเป็นห้องครัวสมัยโบราณ หม้อ กระทะ ก้นดำที่บอกถึงระยะเวลาในการใช้ เตารังผึ้งที่สำหรับหุงข้าวต้มแกงตามปกติ ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อน ราวแขวนเสื้อมากมายหลากสีสันที่เรียงรายบนเส้นเชือกที่ผ่านฝาบ้าน บ้านเงียบเชียบ เหมือนไร้ผู้คน พยาบาลเวชฯวัยกลางคน ได้ไขกระจกรถตะโกนถามบ้านฝั่งตรงข้าม ว่าเห็นเจ้าของบ้านหรือไม่ คำตอบที่ได้รับชวนฉงน "ออกไปเดินเล่น เดี๋ยวคงกลับมา ถ้าอยากเจอเดี๋ยวจะขับรถไปรับกลับมา" กำลังนึกสงสัยว่าเรากำลังเข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่า การมาเยี่ยมบ้านครั้งนี้คือมาเยี่ยมบ้านคนพิการอัมพาตมิใช่หรือ แต่ไฉนจึงได้เดินออกไปเสียหลายกิโลเมตร ไม่นานนัก เพื่อนบ้านก็กลับมาพร้อมกับเจ้าของบ้าน หญิงชราวัย 65 ปี ผมหงอกแซมเสียขาวโพลน หน้าตายิ้มแย้ม ดีใจที่มีคนมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน บอกถึงความมีสุขภาพดี พวกเราต่างยกมือไหว้ หญิงชราก็ค่อยๆใช้มือซ้ายช้อนมือขวาออกมารับไหว้อย่างเบิกบานใจ พร้อมกับชี้เชิญให้เข้าไปนั่งในบ้าน

หลายปีแล้วที่เธออยู่ในสภาพเช่นนี้ ทุกครั้งที่ให้เล่าย้อนประวัติความเจ็บป่วย น้ำตาที่พร้อมจะเอ่อล้นก็ไหลปริ่มจนต้องใช้มือป้ายเช็ดทุกครั้งที่บรรยายถึง ความเจ็บช้ำน้ำใจจากสังคมภายนอก ที่เคยดูแคลนว่าเป็นผู้พิการ ครั้งหนึ่งเคยท้อแท้หมดสิ้นกำลัง คิดว่าตายแน่แล้ว สุดท้ายกลับได้รับการช่วยเหลือจากคลินิกใกล้ใจที่เหมือนแสงสว่างที่คอยช่วยเหลือมาตลอด7ปี พร้อมทั้งเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนสามารถ "เบื่อที่จะท้อแท้" และกลับมาสู้ต่อไป อย่างไม่ลดละ ราวหน้าบ้านที่เพื่อนบ้านช่วยกันสร้างไว้ให้เกาะยืนเพื่อฝึกกายภาพ ไม้เท้าที่กลุ่มชมรมผู้สูงอายุช่วยกันทำให้ เงินงบประมาณสนับสนุนผู้พิการจากอบต.ที่ทุกคนในชุมชนช่วยกันยกมือโวตให้มอบเงินก้อนนี้แด่เธอผู้ไม่แพ้ เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ชุมชนแห่งนี้ช่วยเหลือดูแลกันมากสักแค่ไหน ทุกวันนี้ คุณกมลพรสามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า ทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึงพาผู้อื่น รวมไปถึงงานบ้านต่างๆ ทำกับข้าว ซักผ้ากวาดบ้าน ยกถังน้ำ หรือแม้กระทั่งการไปช่วยงานของคนในชุมชน ขนทรายเข้าวัด งานทำบุญต่างๆ การทำประชาคมหมู่บ้าน ฯลฯ จนผู้สูงอายุปกติยังยอมแพ้

ไปเยี่ยมบ้านครั้งนี้ได้อะไรกลับมาหลายอย่าง ทั้งกำลังใจในชีวิต การฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ความไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา และความสำคัญของการช่วยเหลือของคนในชุมชน ความรักใคร มิตรภาพดีดีของผู้คนที่จะช่วยเหลือและทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ ความช่วยเหลือของแต่ละฝ่ายที่ต้องเกื้อกูลกันจึงจะประสบความสำเร็จ ทีมงานเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง ไม่ทอดทิ้ง ย่อมเป็นผลประโยชน์ระยะยาว องค์ประกอบหลายๆอย่างนี้เองที่จะทำให้เราได้ดูแลคนไข้อย่างเป็นองค์รวมทั้งกาย จิต สังคม อารมณ์ ปัญญา

ขอบคุณคุณกมลพรที่สอนเราให้รู้จักความเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความเรียบง่ายของชีวิต แม้ลำบากก็จงคิดแต่สิ่งที่ดี "ดีพะยะค่ะ" อะไรๆก็ดีทั้งนั้นแหละที่เข้ามาให้เราได้เจอะเจอ ทุกอย่างทำให้เราได้พัฒนามากขึ้น แค่ความคิด ก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ จากที่หม่นหมอง อึมครึม กลับสดใสขึ้นมาทันตาเห็น

ขอบคุณทีมงานคลินิกใกล้ใจที่เข้ามานั่งอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พร้อมกับสอนประสบการณ์ต่างๆที่ทำให้เป็นมากกว่าคำว่าหมอ แต่เป็นคนที่มีจิตใจงามเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ทุกวันนี้ผมยังไม่เคยคิดว่าผมเป็นหมอเลยสักครั้งเดียว ยังรู้สึกว่าตนเองเป็นคนธรรมดาๆ และที่นี่ยิ่งทำให้คนธรรมดา กลายเป็นคนที่เต็มตัวมากขึ้น พร้อมที่จะให้ได้อย่างมีความสุข..... "นี่คงเป็นสุขที่แท้จริงที่เราค้นหา สุขที่ได้ให้" ตลอดมาผมเชื่อนะว่าใครทำอะไรย่อมได้เช่นนั้นตอบแทน วันนี้ก็ยิ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าให้ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงามต่อไป ผลตอบแทนอย่างไรก็ย่อมได้ดี แม้ว่าจะนานแสนนาน แต่อย่างไรก็ต้องได้ ถึงจะพ่ายแพ้ล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร สู้ต่อไปทาเคชิ

หมดเรื่องราวดีดีข้อคิดสอนใจ โลกใบนี้ย่อมมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน มีดีมีร้ายสลับกัน ตกค่ำเรื่องร้ายๆก็วนเวียนมาถึง เสียงตะโกนเรียกพวกเราจากหน้าบ้านก็ดังขึ้น ปริญญาเป็นตัวแทนที่ชะโงกหน้าออกไปว่าใครเป็นคนเรียก อ้อ...พี่ที่รับซักผ้านั้นเองมีอะไรหรือ??? สรุปใจความได้ว่า พี่เค้ามาถามว่าเราอยู่กันกี่คนทำไมถึงส่งผ้าเยอะเหลือเกิน ไม่เหมือนรุ่นก่อนๆ พอบอกว่า อยู่7 คนแต่ส่งผ้า 6 คนเพราะก้องกริ๊ซักรีดเอง(เป็นพ่อบ้านผู้น่ารัก) พี่เขาก็บอกว่าเนี่ยะ พี่นับแล้วรวมที่เก็บผ้าไปทั้งหมดน่ะ 206ชิ้นแล้วนะ ครั้งล่าสุดที่ส่งนับได้ 91ชิ้น ขอขึ้นค่าซักรีดที่ตอนแรกจะเก็บสัปดาห์ละ 100 บาท เป็นสัปดาห์ละ 200 บาทแทน ด้วยตอนนั้นเพื่อนๆไม่อยู่บ้านกันไปใช้เน็ตทำงานที่ห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลปริญญาจึงบอกปัดไปก่อนว่าจะบอกเพื่อนให้แล้วค่อยบอกพี่พรุ่งนี้ อาจจะฟังดูแล้วไม่เห็นจะมีอะไร แต่ขอโทษเถอะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเก็บ 200 บาทต่อคน ได้ข่าวว่ามารับผ้าไปเพียง3รอบ เพื่อนบางคนส่งผ้าไปแค่ครั้งเดียว ไม่เกิน15 ชิ้นด้วยซ้ำ ต้องมาจ่าย 200 บาทจะมากเกินไปหรือเปล่า มานั่งนับกันแล้วไม่ถึงด้วยซ้ำไป ครั้งล่าสุดที่ซักกับพี่เค้าไปที่บอกว่า 91 ชิ้น (รุ่งขึ้นพี่เค้าก็เอากระดาษฉีกใบเล็กๆมาให้ดูว่านับได้เช่นนั้นเป็นตัวเลข 91ที่พี่เค้าเขียนขึ้นมา) นับแล้วนับอีกก็ได้แค่สี่สิบกว่าชิ้น ห่างกันจากการเก็บผ้าครั้งที่สองแค่ 2-3วันจะมีผ้าที่จะส่งซักรวมกัน 91ชิ้นเลยหรือ??? เกินไปแล้วนะ แต่ด้วยความใจดีของเพื่อนๆหรืออย่างไร จึงตัดสินใจที่จะยอมจ่ายเพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเพราะพี่เค้าก็เป็นจนท.โรงพยาบาลยังต้องอยู่ด้วยอีก 1 สัปดาห์ น้ำตาแทบร่วงมีมั๊ยส่งผ้า 15 ชิ้น 260 บาท ชิ้นนึงกี่บาทเนี่ยะลองนับดู แล้วคงไม่ซักต่อเก็บผ้ากลับมาซักที่หอดีกว่าอีกห้าวันเอง แต่แล้วความไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกรอบเพราะว่าวันที่ไปจ่ายคือวันนี้ วันศุกร์ เพื่อนที่ไปจ่ายแทนที่จะต้องจ่าย 1200 บาท เพราะว่า 200 x 6 =1,200 บาท พี่เค้ากลับบอกว่าเป็น 1,600 บาทขาดตัว แล้วมันมาจากไปนอีกล่ะ 400 บาท งงมาก ... ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนถึงยอมโดนโกง ไม่กล้าเข้าไปยุ่งมากนักหรอก เพราะว่าซักเองรีดเอง เดี๋ยวจะโดนหาว่ายุ่งอีก เพราะช่วงนี้ดูจะเป็นคนขี้โวยวายและ ชอบfight ในสายตาเพื่อนๆไปเสียแล้ว เอาเถอะๆ เพื่อนๆจากโรงพยาบาลอื่นลองคิดดูเอาเองแล้วกันนะว่าเรื่องแบบนี้สมควรยอมหรือไม่ ถ้ายอมเพราะสาเหตุใด หรือไม่ยอมเพราะสาเหตุใด บอกกันได้

ข้อคิดเตือนใจ เรื่องเล็กๆน้อยๆยอมได้ก็ยอมกันไป แต่บางเรื่องถ้าเกินความเป็นจริงไปมากๆก็หัดที่จะผดุงความยุติธรรมให้กับตนเองบ้างก็ดี ไม่ต้องสร้างภาพให้ดูดีทุกเรื่องหรอก เหนื่อยเปล่า ผิดเป็นครูก็จริง แต่ผิดแล้วกระทบตังค์พ่อแม่แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ไม่ได้ผลิตเงินได้เอง มาเรียนรู้ ไม่มีคนดูแลก็ยังไม่เป็นไรเพราะโตแล้วดูแลตัวเองได้ แต่ยังมาโดนเอาเปรียบแบบนี้อีก รับไม่ได้มากมาก แต่ก็ "ดีพะยะค่ะ" ได้เรียนรู้สัจธรรมชีวิต เชื่อเสมอว่าใครทำอะไรไว้ย่อมได้สิ่งนั้นกลับคืนมาเสมอ ไม่ได้จะสาปแช่งหรืออะไร แต่มันเป็นเหตุและผล เป็นธรรมดาโลก ต้องยอมรับ

ชลันธรี

15/07/2009

บันทึกรัก cororanod (ต่อ)

blog ที่รัก

สวัสดีวันพุธ

วันนี้เป็นวันที่พวกเราต้องเปลี่ยนกลุ่ม rotate กันแล้วล่ะครับ ก้องฝน ไปอยู่คลินิกใกล้ใจ ฝนตั๊กไปอยู่CMU แป๊กแปดมาอยู่ OPD น้องพิว ไปอยู่คลินิกเวช(ฉายเดี่ยว)

เมื่อคืนนี้มีสมาชิกมานอนที่ห้องอุ่นหนาฝาคั่งมากๆหลังจากที่ทิ้งเราไปให้เรานอนคนเดียวมาหนึ่งคืน น้องพิวและแป๊กมานอนด้วย กรนสนั่นจนเรือนไหว แต่น้องพิวมักไม่ค่อยยอมรับหรอกว่าตัวเองกรน ช่างเถอะก็รู้ๆกันอยู่ เมื่อคืนเราพากันเปลี่ยนทิศทางการนอนตามทฤษฏีน้องพิวว่าด้วยทิศตะวันออกตะวันตกและขัวประจุไฟฟ้าของเม็ดเลือดแดงที่มีความสัมพันธ์กัน รายละเอียดคงไม่กล่าวมากต้องถามน้องพิวเอาเอง แล้วก็น้องแป๊กที่ไม่มีน้องแปดมานอนด้วยก็เลยเกิดความกลัวไม่กล้านอนคนเดียวไร้คนกอดยามหลับขึ้นมาซะงั้น แต่ก็ดีนะ จะได้มาช่วยกันแบ่งเบาภาระยุง ไม่มารุมกัดเราคนเดียว แบ่งๆกันไป

เหมือนจะปรับสภาพจนชินว่าต้องตื่นนอนตอนตีห้าครึ่ง ตั้งแต่มาอยู่นี่ตื่นเวลานี้ทุกวันเลย... คงเป็นข้อดีของการมาอยู่รพช.มั้ง ทำให้เราตื่นเช้าขึ้น ไม่เห็นจะง่วงนอน อย่างที่เคยคิดไว้ กลับตื่นมาด้วยความสดใส แต่ก็อย่างว่า นอนก็เร็วด้วยแหละ ตั้งแต่ห้าทุ่มโดยประมาณ ถ้าอยู่หาดใหญ่ก่อนเที่ยงคืนคงยังดี๊ด่าดี๊กันอยู่อีก

มาอยู่นี่เริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ได้บ้างแล้ว ไม่ค่อยอึดอัด รู้ว่าควรอยู่ตรงไหนเวลาไหน ทำอะไร ไม่ควรทำอะไร หรือว่า ใครที่ไม่ควรเข้าไปเจอ แต่แย่หน่อยที่คราวนี้ไม่ค่อยได้contact กับพี่หมอ หรือแพทย์พี่เลี้ยงสักเท่าไหร่ จะเจอคงตอนไปอยู่ CMUสักสองวันกระมัง ช่วงนี้ก็จะเจอแต่พี่พยาบาลเวชฯเสียเป็นส่วนมาก ก็ดีเหมือนกันได้ฝึกทำงานร่วมกับสหวิชาชีพ

เช้านี้เริ่มงานที่คลินิกใกล้ใจ ก็เหมือนกับคลินิกเวชฯที่ผ่านมา แต่จะดูแลคนละตำบล ไม่ได้ดูแลในตำบลระโนดเหมือนอย่างคลินิกเวชฯ แต่ลักษณะการทำงานเหมือนกัน ดีหน่อยที่ตรงนี้ตั้งอยู่ในตัวโรงพยาบาล เราสามารถinvestigateเพิ่มเติมได้เลย หรือจะส่งต่อผู้ป่วยไปยัง OPD ได้ทันทีถ้าเป็นเคสหนักและมีปัญหามาก ทำงานกันอย่างเพลิดเพลินในช่วงเช้า มีคนไข้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย คือที่นี่ดูจะมีคนตรวจน้อย มีห้องตรวจแค่สองห้อง เราก็อยู่อีกห้องหนึ่งมีพี่พยาบาลเวชฯอีกห้องหนึ่งช่วยตรวจ ดีอีกอย่างคือจะมีพี่ที่คอยจัดยาให้ ไม่ต้องจัดยาเอง แค่เรียกคนไข้วัด vital sign ซักประวัดิ ตรวจร่างกาย Dx Tx สั่งยา แล้วเดี๋ยวก็จะมีคนมาจัดยาให้ เราก็ไปจ่ายยาเองที่หลัง ค่อยเบาแรงหน่อย แต่คนไข้ก็เยอะเหมือนกัน (แต่คงไม่เท่า OPDหรอก)เผลอแป๊บเดียวก็เที่ยงเสียแล้ว อาหารเที่ยงวันนี้ดีเกิดคาด จัดเตรียมเหมือนมีงานเลี้ยงกันเลยทีเดียว เพราะว่ามีแพทย์มาประชุมอะไรสักอย่าง เลยจัดเตรียมอาหารอย่างดี ทั้งแกงส้ม ต้มจืดไก่ ไข่เจียวไส้สาหร่ายทะเลลึก ตบท้ายด้วยฝรั่งสดๆ ตัดเป็นชิ้นๆ พอดีคำ แหมๆ อาหารดีเลิศที่สุดแล้วล่ะตั้งแต่มาอยู่ที่ระโนดนี่ แต่ก็สามารถปรับตัวกันได้อย่างดีทุกคน อ้อๆๆ นอกจากนี้ยังจัดจานช้อนแก้วเป็นเรื่องเป็นราวอีก (ปกติครอบฝาชีเอาไว้)

ตอนบ่ายอุตส่าห์กำลังคิดว่าจะได้ไปเยี่ยมบ้าน แต่อาทิตย์นี้กลับไม่ได้เยี่ยมบ้านอีกแล้ว เพราะเราต้องไปทำประชาคมหมู่บ้าน ที่นี่เค้าน่ารักดีนะครับ ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ประชาชนหมู่ 2 ต.ท่าบอน มีความสนใจและให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพกันอย่างมาก การทำประชาคมครั้งนี้ด้วยมีงบประมาณจาก สปสช.มาให้ทำโครงการ โดยให้หัวละ 37บาท 50 สตางค์ เพื่อทำโครงการเกี่ยวกับการปัญหาสุขอนามัย งานนี้ได้รับความร่วมมือทั้งจากนายกอบต ประชาชนในหมู่บ้าน และ บุคคลากรทางสาธารณสุข เป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายของทุกฝ่าย สำหรับงานที่ไปในวันนี้ อีกแล้ว...งานเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ต้องเป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่ดูชาวบ้านก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็เริ่มทำประชมคมโดยเราเป็นคนแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่ผ่านมาว่าสำหรับประชาชนหมู่ 2 ต.ท่าบอน มีอะไรบ้างคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ แล้วให้ช่วยกันออกความเห็นและให้คะแนน เป็นอันว่าทุกคนเห็นตรงกันว่าปัญหาเป็นเรื่องของระบบทางเดินหายใจ และอยากให้มีการป้องกันการเกิดไข้หวัด โดย เสนอให้มีการตั้งอ่างล้างมือตามที่สาธารณะ 3 จุด ที่วัด ที่ออกกำลังกาย และบ้านอบต.ที่จะมีคนผ่านไปมาเยอะมากมาย และเสนอให้มีการแจกผ้าปิดจมูกให้กับประชาชนทุกคนให้มีติดตัวเอาไว้ ใช้เวลารวมๆแล้วเกือบสองชั่วโมง

แม้ว่างานเยี่ยมบ้านของเราจะยังไม่ได้เริ่มวันนี้ แต่ก็ได้ไปพบกับประสบการณ์อีกรูปแบบ และพี่พยาบาลก็แนะนำให้รู้จักกับป้า กมลพร ที่เป็น CVA แต่ว่าสามารถเอาชนะอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงได้ ด้วยการทำกายภาพบำบัด และกำลังใจจากเพื่อนบ้านและคนรอบข้าง น่าติดตามทีเดียว พรุ่งนี้ได้ความอย่างไร น่าสนใจขนาดไหน ค่อยเล่าให้ฟังพรุ่งนี้แล้วกัน ถ้าไม่ต้องรีบปั่นงานพรีเซนต์

12/07/2009

บันทึกรัก cororanod

blog ที่รัก

สวัสดีวันอาทิตย์

เมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับ เพราะบรรดายุงตัวเขื่อง แว๊กกกก ยุงลาย ฮือ... น่ากลัวเหลือเกิน กว่าจะหลับตาลงได้ อยู่ที่นี่คงได้หลับได้นอนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่พยายามข่มตามากว่าชั่วโมงแล้ว ครั้นได้หลับลงไป ก็ต้องสะดุ้งตัวตื่นเพราะรู้สึกเหมือนเข็มเล็กแหลม แทงลงไปผ่านผิวหนัง ไม่นะ เหนื่อยแล้ว อยากนอน

อรุณสวัสดิ์ เป็นคำพูดที่เรียกได้ว่าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำสำหรับวันนี้ แสงอาทิตย์อ่อนๆที่เพิ่งจะทอแสง ดุจบุษราคัม งามงดวุ้งเวิ้งอยู่ ณ ปลายฟ้า มองลอดผ่านหน้าต่างบานน้อยที่ผุพังไร้คนดูแลมานาน ปทุมเหลืองอ่อนอำไพ โบกไสว พลิ้วไปกับสายลม ผิวน้ำระรวยริ้วเป็นคลื่นน้อยๆ สาดซัดเข้าขอบสระบัว ศาลาน้อยที่ทอดตัวลงไปในน้ำดูสงบร่มเย็นยิ่งนัก เริ่มปรับตัวและทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว

หกโมงเช้า อากาศเย็นๆปลุกให้เข้าห้องน้ำ แปลกที่ตาสว่างไม่งัวเงีย เข้าห้องน้ำจัดการกับภารกิจส่วนตัว รีบรุดขับจักรยานยนต์ขันสวย อำนวยความสะดวกจาก พี่ศูนย์ใกล้ใจ แต่ต้องแบ่งกันใช้กับพี่ Ext เช้านี้พวกเรามีกิจกรรม สำรวจและท่องเที่ยวสักเล็กน้อย นั้นคือไปตลาดนัดวันอาทิตย์ ที่สงขลา วี๊ดวิ้วววว สายลมที่ผ่านหน้ามาเย็นจนหน้าชา มุ่งหน้าไปยังคิวรถระโนดสงขลา รถคันแรกได้ผ่านสวนทางผ่านเราไป เมื่อถึงคิวรถก็ได้รู้ว่า ยังมีรถเที่ยวต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า ต้องรีบกลับมาปลุกเพื่อนๆอาบน้ำอาบท่าเสียให้เรียบร้อย

เมื่อทุกคนพร้อมเดินทาง ก็ออกไปรอรถที่จะผ่านหน้าโรงพยาบาลมุ่งสู่ตัวจังหวัดสงขลา เพียงครู่เดียวรถเมล์สีแดงคันใหญ่ก็แล่นมาจอดเบื้องหน้าพวกเราอย่างเชื่องช้า พร้อมกับสมาชิกบนรถอีกไม่มากนัก รถค่อยๆแล่นออกจากหน้าโรงพยาบาล ไม่รีบร้อนตามประสารถโดยสาร ที่แวะรับส่งผู้โดยสารตลอดระยะทาง ราคาเบ็ดเสร็จ 60 บาท ส่งตรงถึงสงขลา บนรถเมล์มีผู้คนมากมาย คุณลุงคุณป้า ที่กำลังจะไปตลาดนัด คุณแม่ที่พาลูกสาวจะไปตัดแว่นใหม่ คุณยายที่กำลังหิ้วกระเป๋าสานใบเขื่องขึ้นมาบนรถ เตรียมตัวไปเยี่ยมลูกหลานที่ไหนสักแห่ง หลากหลายผู้คนบนรถเมล์ หลากหลายกิจกรรมบนรถที่ทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความสนุกสนาน แต่แฝงไปกับการศึกษาบริบททางสังคม การสัญจรไปมาในแต่ละที่แต่ละแห่ง จุดมุ่งหมายปลายทาง จะบอกได้ว่าแต่ละคนมีวิถีชีวิตเป็นเช่นไร หากเป็นคนเมือง คงจะโดยสาร รีบเร่งเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทำงาน โดยแทบไม่ได้สนใจหรือมองไปยังสถานที่รอบข้างว่ามีการเปลี่ยนแปลงเช่นไรบ้าง หากแต่วิถีคนในชนบทเช่นนี้ การขึ้นมาบนรถโดยสารก็ไม่ต่างอะไรกับการไปออกงานสังคมย่อยๆ ที่จะต้องเจอผู้คนที่รู้จัก ทักทายกันแทบจะต้นยันท้ายรถเลยทีเดียว เห็นแล้วก็ดูอบอุ่นไม่น้อย การเดินทางไปไหนก็ดูไม่ค่อยน่ากลัว เพราะ ต่างคนต่างรู้จักและช่วยเป็นหูเป็นตาให้กันและกัน จากฟากนี้ตะโกนไปฟากโน้น ทักทายปราศรัยกันเป็นระยะๆ ภาพที่เห็นคุณแม้อุ้มลูกขึ้นมาบนรถ หน้าตายิ้มแย้มทักทายคุณย่าคุณยาย โอบอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก ค่อยๆป้อนข้าวเหนียวหมูปิ้ง อาหารง่ายๆยามเช้า ทำให้อดอมยิ้มไม่ได้

ลมเย็นโกรกผ่านกระจกแรงจนผมปลิว แสบตาไปหมด เหมือนคุณลุงข้างหน้าจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น หรือเพราะลุงแกก็รู้สึกเช่นเดียวกับพวกเรา จึงเอื้อมมือมาช่วยเราปิดหน้าต่างที่ส่วนหนึ่งล้ำไปอยู่ฝั่งคุณลุง ความมีน้ำใจที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ออกจะเป็นข้อโดดเด่นเหลือเกินสำหรับคนที่เราชาวเมืองมักจะบอกว่าเป็นพวกบ้านนอก และใช้ความมีน้ำใจของพวกเขาเหล่านั้น หาผลประโยชน์กันมากมาย ทิวทัศน์รอบข้างที่ผ่านไปน่าสนใจจนเข้ามาแทนที่ความคิดต่างๆที่ฟุ้งอยู่ในหัว ทุ่งนา ป่าเขา ที่ดูเป็นเรื่องปกติของแถบนี้ ก็ดูแปลกตาสำหรับคนที่อยู่ในเมืองมานานเช่นเรา ภาพการแต่งกายที่แปลกตาไม่ได้intrainไม่ได้modernไม่ได้ล้ำสมัยตามยุค เหมือนกับที่กำลังโด่งดังในชีวิตสังคมเมืองที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ ข้อนี้คงไม่ปฏิเสธตัวเองก็พยายามทำตัวให้ดูดีขึ้นด้วยการแต่งกาย สร้างบุคคลิกภายนอกให้ดูน่าสนใจ แต่ที่แห่งนี้คงไม่เป็นเช่นนั้น เสื้อผ้าสีทึมๆ ง่ายๆ เสื้อยืดกับกางเกง หรือจะเป็นเสื้อกับผ้าถุงอีกสักผืน ก็เพียงพอสำหรับที่จะออกไปตลาดนัด ไปวัด หรือไปทำธุระใดๆใกล้บ้าน ก็ไม่เห็นมีใครมองว่าแต่งตัวไม่ได้เรื่อง หรือไม่ทันยุคทันสมัยอันใด

ผอยหลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็เห็นภาพสายฝนข้างนอก ประปราย เทลงกระทบกระจกเปาะแปะ ภาพข้างนอกดูจางหายเพราะสายฝนอีกรอบ รถก็แล่นสู่ตัวจังหวัดสงขลาต่อไป...


กิจกรรมวันนี้ไม่มากมายอะไร เพียงแค่เปลี่ยนที่รับประทานอาหารใหม่ เดินตลาดนัด สำรวจวิถีชุมชน ค่อนไปทางเมืองนิดๆ แต่อะไรๆก็ยังดูแต่งต่างจากในหาดใหญ่ เช่น อาหารการกิน รู้มั๊ย ยังมีการขายพวกรากไม้รากสมุนไพรหลากสรรพคุณกันอยู่เลย นี่ขนาดว่าตัวจังหวัดแล้วนะ แล้วในระโนดจะมีบ้างหรือเปล่านะ

บ่ายๆ ก็กลับระโนดกัน อิ่มท้อง อิ่มใจ บนรถขากลับ ยืนจนถึงระโนดกันเลยที่เดียว เมื่อยก็เมื่อย แต่ว่านะ... นี่แหละความเป็นจริงที่เราจะต้องเจอ แม้ต้องเบียดเสียดกันบ้าง แต่ลุงข้างๆก็ยืนอยู่เป็นเพื่อน ปากก็เล่าโน่น โม้นี่ไปเรื่อยๆ ก็เห็นแกมีความสุขดีแม้จะต้องยืนจนเกือบๆจะถึงระโนดเลยทีเดียว แม้จะประหลาดใจ แต่ก็อดที่จะยินดีที่เห็นความอดทนไม่ได้

ประสบการณ์ครั้งนี้ก็ส่งเสิรมการมาอยู่โรงพยาบาลชุมชนได้ไม่น้อย

11/07/2009

บันทึกรัก cororanod (ต่อ)

สวัสดีวันเสาร์

หลังจากที่ตกใจ แปลกใจ กังวลใจ หรืออะไรต่างๆในการทำงานวันแรกที่ผ่านมา วันนี้จึงขอออมแรงกันเสียหน่อย สมาชิกในบ้านของเราวันนี้ลดจำนวนลงเป็น 5 คนเพราะติดภารกิจต้องไปติว NT ที่รพ.หาดใหญ่

แสงแดด ไม่ใช่แสงสีนวลเฉกเช่นวันวาร เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนี้ สายเสียเหลือเกินแล้ว เอ๊ะ... ทำไมสิ่งของรอบตัวจึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อวาน .......ที่นี่ที่ไหนกันนะ

ตั้งสติได้จึงรู้ว่าเมื่อคืนนอนผิดห้อง เผลอหลับไปห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จำไม่ได้ รู้ลางๆแค่ว่าดูกบนอกกะลา แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย รีบเปิดดูใต้ผ้าห่ม เอาล่ะ เสื้อผ้ายังอยู่ครบ มองไปรอบตัว ด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อวานเพลียมากสำหรับการไม่สบายครั้งนี้ ไอ จนเหนื่อย เช้านี้ กว่าจะหายใจได้แต่ละทีต้องออกแรงเยอะผิดปกติเหมือนได้ยินเสียง วี๊ดๆอยู่ตลอด (แต่เราไม่เคยเป็น asthma นี่นา) จากนั้นก็ผอยหลับไปอีกรอบ จากอาการปวดหัวตุ้บๆ... ได้แต่ภาวนาให้ภาพที่เห็น ห้องที่นอนอยู่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย

อีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ก็ สะดุ้งตื่นด้วยเสียงคนงานก่อสร้างข้างบ้านที่มาปรับปรุง ซ่อมแซมบ้านข้างๆ แต่ไม่เห็นมีวี่แววคนที่จะมาต่อเติม บานเกร็ดให้เราเพื่อต่อสู้กับยุงร้ายเสียที ดีดตัวเองออกมาจากที่นอนแข็งๆ รีบรุดเข้าห้องน้ำอาบน้ำ ปลุกคนโน้นคนนี้ที่ดูแล้วจะไม่มีวี่แววตื่นเลย กว่าจะเรียบร้อยกันก็สิบเอ็ดโมงเศษ เดินกันอย่างอ่อนแรงไปโรงครัว สองคนที่ยังไม่ได้อาบน้ำและอาบแล้วสามคน

ตลอดทางแทบไม่มีคนอยู่เลย ว้า...เงียบจริงๆ มีเพียงแม่บ้านหนึ่งคนที่แวะทักทายกันระหว่างทาง หลังจากปฏิเสธคำเชิญที่จะให้ร่วมกินปิ่นโตปิ๊กนิกหน้าห้องน้ำหญิง ขอบคุณมากนะป้า แล้วเราก็เดินต่อไปยังโรงครัว อาหารที่ตั้งเตรียมไว้สำหรับ 7 คน ดูเล็กน้อไปเลยเมื่อสมาชิกของเราบางคนที่สามารถจัดการกับอาหารเหล่านั้นได้เกลี้ยงโต๊ะ อาหารที่นี่ก็ค่อนข้างต้องปรับตัวกันสักเล็กน้อย ไม่ได้เอร็ดอร่อยเหมือนกับบ้านเรา แต่เลือกไม่ได้นี่ครับ อาหารเช้าที่นี่นอกจากข้าวต้มแล้วไม่มีอย่างอื่นให้ทานเลย พวกเราเกินครึ่งที่ไม่ทาน ทำให้แม่ครัวบอกว่า "คราวหน้าไม่จัดอาหารเช้าแล้วกันนะ" กลายเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะไม่มีอาหารเช้าให้เรากิน คงต้องหากินกันเองแล้วล่ะ คงลำบากไม่ใช่น้อยนะเนี่ยะ

วันหยุดถ้าไม่ได้ทำอะไรในรพช. ช่างเหงา และเหงาเสียเหลือเกิน ก็ได้แต่ทำงานบ้าน กวาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ตามเรื่องตามราว อากาศยามเที่ยง ร้อนจน อยู่เฉยๆ เหงื่อก็ออกราวกับเอาน้ำมาราดสักสองขัน ใครหนอจะเข้าใจ พัดลมเพดานที่พัดเบาๆ ราวกับกลัวว่าหากพัดแรงกว่านี้แล้ว ตัวเองจะหลุดออกมาเป็นเสี่ยงๆ วันก่อนแป๊ก โดนพัดลมตีเพราะกำลังใส่เสื้อไปรอบหนึ่ง แผลเหวอะไปเลยที่เดียว ดีนะที่อยู่ในโรงพยาบาล จึงสามารถช่วยเหลือไว้ได้ทัน น่าสงสาร ตอนนี้เวลาจะสวมเสื้อ หรือชูมือแต่ละครั้งก็ต้องระวัง เสียวๆว่าพัดลมจะตีโดนมืออีกคน

งานสบัดไม้บนสายเสียง ทำให้คลายเหงาบ้าง ดูก้องกริ๊จะมีความสุขไม่น้อย ที่ได้บรรเลงเพลงขิม ให้เพื่อนบ้านละแวกนั้นได้ฟัง ยังดีที่มีพี่ Ext อีกสามคนที่ให้ได้ร่วมสนทนา แลกเปลี่ยนความคิด คลายเหงาได้บ้าง การค้นพบว่า internet ในบ้านพักก็ติด เป็นอีกกิจกรรมลดเบื่อลง

หากอยู่ในชุมชนแบบนี้ แล้วเราไม่รู้จักใครเลย อยู่เพียงคนเดียว คงแย่พิลึก อยู่คนเดียว ไม่ต้องคุยกับใคร เค้าอยู่กันได้อย่างไรนะ??? เป็นอีกเรื่องที่ต้องค้นหา แล้วกิจกรรม วันว่างของพี่ๆที่นี่เค้าทำอะไรกันบ้างเหรอ เป็นเรื่องชวนฉงนอีกครั้ง

เค้าบอกให้ว่างๆ ทำงานจิตอาสา วันนี้ก็ขอทำงานจิตอาสาเป็นคนให้คำแนะนำ รับปรึกษาชีวิต ตลอดบ่ายแก่ๆ ถึงค่ำต้องนั่งพูดคุยกับ Ext ที่ดูจะมีปัญหาชีวิตรุมเร้า ค้นหา illness ออกมาจากจิตใต้สำนึก นึกถึงคอร์สภาษาอังกฤษที่น้องหญิงจันทร์จิราไปเรียน "ภาษาอังกฤษจากจิตใต้สำนึก" เป็นอย่างนี้นี่เอง

เหงา เหงา เหงา บอกไม่ถูก ค่ำแล้ว พรุ่งนี้จะทำอะไรดีนะ...

10/07/2009

บันทึกรัก cororanod (ต่อ)

blog ที่รัก
สวัสดีวันศุกร์

เช้าวันแรก อากาศเย็นๆที่ปลุกให้ตื่น แม้ไม่อยากลืมตาขึ้นมากนักเพราะยังเช้าอยู่ แต่ตาก็สว่างเสียจนไม่อยากจะนอนขดอยู่บนเตียง 6โมงเช้า อากาศช่างแตกต่างจากเมื่อวานก่อนนอนเสียเหลือเกิน สามสาวนอนด้วยกันสามคน หัวขวดสองคนนอนกับน้องพิว ส่วนก้องกริ๊โดนทิ้งให้นอนคนเดียวข้างบน ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงนี้ดูเธอไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ไอได้ตลอดเวลาจนคนแดง เห็นอมแต่ยาอมมะแว้ง ไม่รู้จะได้เรื่องหรือเปล่า เห็นว่าเป็น illness ล่ะ เนื่องจากไข้ใจ อิอิ

น้ำที่เปิดเต็มไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะว่าถูกเตือนไว้ว่าตอนเช้าน้ำจะไม่ไหลเพราะใช้กันเยอะ บ่งบอกให้รู้ว่าเราเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นมา แสงแดดอ่อนๆ ค่อยๆทอแสงมาจากขอบฟ้าฝั่งตะวันออก ยิ่งทำให้สดชื่น ตื่นเต็มตายิ่งขึ้น สายน้ำเย็นๆจากขันที่รดตัว ช่างเย็นสบาย แต่น้ำก็ไม่ได้เย็นจัดนัก สภาพห้องน้ำแสนเล็ก บนผืนน้ำในถังก็เป็นคราบมันๆ หันไปรอบตัวแม้แต่ราวตากผ้าในห้องน้ำก็ยังไม่มี น้ำตาอุ่นๆก็รินไหลออกมาอีกครั้ง เอาน่า...ปลอบตัวเอง คงดีกว่าเด็กนักเรียนในปอเนาะตั้งเยอะนะ แข็งใจอาบน้ำต่อไป เดินกลับมายังบนที่นอน แทบจะกระโดดลุกออกอย่างเร็ว คราบเลือดบนที่นอนนี่คืออะไร เปรอะที่นอนไปหมด ทีแรกนึกว่าเป็นระดู แต่ก็คงไม่ใช่ สำรวจไปรอบๆ ก็ได้พบกับต้นตอ นั่นคือซากยุงหลายสิบตัวที่นอนตาย เลือดซึมไหลเลอะผ้าปูที่นอนไปหมด ชวนให้คิดเสียเหลือเกินว่าเมื่อคืนนี้เกิดสงครามขนาดย่อมจนต้องล้มตายกันเลยหรือ???

ภารกิจเช้านี้ ต้องไปหาอาหารกันทานที่โรงครัว โดยมีเพียงคำใบ้สั้นๆจากพี่ว่า "เดินตรงไปเลี้ยวซ้ายที่หอผู้ป่วย ตรงไปและตรงไป" ขอบคุณสำหรับคำใบ้มาก คงจะดีไม่น้อยหากจะพาพวกเราไปเดินทัวร์กันสักนิด แต่ก็ไม่เป็นไร สบายมาก แต่ว่าไอ้ห้องที่พี่นัดประชุมเช้านี้นี่สิมันอยู่ที่ไหน พี่ก็บอกใบ้แค่ว่า "ห้องกระจกใสๆ ใกล้ๆบันได" เอ่อ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันชื่อห้องว่าอะไร อ้าว..แล้วพวกเราจะรู้ไหมล่ะเนี่ยะ

ข้าวต้มมื้อแรกเย็นชืด สามสาวกับน้องแปดเท่านั้นที่รับประทานอย่างฝืนทน ยึดคติกินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ที่เหลือขอบาย เป็นน้ำเต้าหู้กับส้มหนึ่งผลดีกว่า จากนั้นก็ค้นหาห้องแห่งความลับกัน ทั่วทั้งโรงพยาบาลว่า ห้องกระจกใสๆใกล้ๆบันไดอยู่ที่ไหนกัน แทบจะไม่มีคนรู้จัก ถามคนโน้นก็บอกนี้ ถามคนนี้ก็บอกห้องนั้น จนกระทั่งเจอกับพี่เกตุจึงได้รู้ว่า อ๋อ...อยู่ที่เราเดินผ่านมานี่เอง แต่แหม มันก็มีกระจกใสๆอยู่ทุกห้องล่ะพี่ วันนี้ก็เพิ่งจะได้ฤกษ์แนะนำสถานที่กิจกรรมปฏิบัติงาน

ก้อง ฝน ไปคลินิคเวชฯ ที่ตลาด
ฝน ตั๊ก อยู่คลินิกศูนย์ใกล้ใจที่รพ.(เป็นPCUของรพ.อ่ะ)
น้องพิว ฉายเดี่ยวออกOPD ตรวจคนไข้ครึ่งร้อย
แป๊ก แปด ไปศูนย์แพทย์ CMU ห่างจากรพ.ไปประมาณ 10 กิโล แม่เจ้า ไม่ได้กลับมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันเพราะระยะทางแสนไกล บวกกับคนไข้ที่เยอะเหลือเกิน

ช่วงบ่าย ก้อง ฝน ฝน ตั๊ก + พี่ Ext อีก 3 คนออกเยี่ยมบ้าน เกาะติดobserveพี่ๆเค้าไปดู 1 เคส เพราะว่าที่พวกเราไปทั้ง 4 คนนั้นวันนี้ตอนบ่ายเค้ามีประชุม ไม่ได้ออกเยี่ยมบ้านเลย แทนที่จะอยู่บ้านพักอย่างเปล่าประโยชน์ จึงขอติดตามพี่ๆ Ext ไปเยี่ยมบ้านด้วยคน เป็นประสบการณ์ที่ร้อนอย่างน่าประทับใจ ขนาดอยู่หาดใหญ่ยังไม่ร้อนแบบนี้มาก่อนเลย เฮ้อ...

อยากจะร้องไห้ มาวันแรกก็ไม่ประทับใจเสียแล้ว ทำงานวันแรก ก็เน่า โอ๊ย ชีวิตที่เหลืออยู่ต้องกล้ำกลืนเท่าไหร่ บอบช้ำเหลือเกิน แพทย์พี่เลี้ยงก็ดูเข้มงวดและก็ดูดุ น้องพิวคาบข่าวมาบอกว่า พี่สั่งให้เขียนอะไรก็ไม่รู้วันต่อวันเสียด้วย ความรู้สึก หรือสิ่งที่ได้เรียนรู้อะไรทำนองนี้แหละ ส่งพี่วันละ2หัวข้อ แง้... (ภาวนาให้น้องพิวพูดเล่น)

ชีวิตวันนี้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องหาคำตอบหรอกเพราะเห็นกันอยู่ หากไม่มีความสุขแล้วเราจะได้เรียนรู้อะไรกันนะ ทำไมมันไม่เหมือนตอนเราไปselectiveตอนปีสี่เลยนะ???