Wellcome to EBM group

ยินดีต้อนรับน้องๆทุกคนค่ะ ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเรียนEvidence Based Medicine ของภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชนโรงพยาบาลหาดใหญ่


Staffs


18/07/2009

บันทึกรัก cororanod (ต่อ)

blogที่รัก

สวัสดีวันศุกร์

หายหน้าหายตาไปไม่ได้อัพบล๊อกหลายวัน คิดถึงเหลือเกิน เนื่องด้วยต้องปั่นรายงานเยี่ยมบ้าน และเตรียม case conference จากเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา หลังจากตอนเช้าที่ต้องไปชมรมผู้สูงอายุ แล้วก็ได้ถูกเชิญให้พูดกับกลุ่มผู้สูงอายุอีกเช่นเคย "ไข้หวัดใหญ่ 2009" นอกจากจะทำหน้าที่วัดความดันโลหิตแล้วก็ ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ในการควบคุมความดันโลหิต อันที่จริงๆแล้วการได้มาอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เรียนรู้งาน ที่ในอนาคตเราอาจจะไม่ได้ทำเอง แต่ว่าเป็นงานที่เราควรต้องเข้าใจว่าทำอย่างไรเพื่อจะได้จัดการได้อย่างถูกต้อง... มาทำงานร่วมกับพี่ๆพยาบาลเวชฯ แล้วก็อสม. ผู้นำหมู่บ้าน ทำให้รู้ได้เลยนะว่า กว่าจะสำเร็จลุล่วงไปได้ในแต่ละอย่าง ต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างมาก หมออย่างเราส่วนมากก็อยู่โรงพยาบาลไม่ได้ลงมาสัมผัสกับผู้ป่วย ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆหรอก แม้จะพยายาม explore illness ขนาดไหนแล้วก็ตาม มันก็เป็นเพียงการคาดเดากว่าครึ่งว่า จริงๆแล้วคนไข้ของเราต้องการอย่างนั้น หรือชีวิตเค้าน่าจะเป็นอย่างนี้ เอาเข้าจริงก็เดาผิดหรอก ชีวิตจริงๆใช่เป็นอย่างนั้นไม่

วันพฤหัสฯตอนบ่ายไปเยี่ยมบ้าน ที่ค้างว่าจะเล่าให้ฟังวันก่อน แต่ว่าหมดเวลาไปกับการเตรียมงาน present ซะหมด บ้านคุณกมลพร เป็นเคสที่ครั้งไปทำประชาคมหมู่บ้าน แล้วพี่พยาบาลแนะนำให้รู้จักแล้วประทับใจในความสำเร็จ การช่วยเหลือ โดยทุกๆคนในชุมชนเข้ามามีบทบาทในชีวิตแกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ตลอด 7 ปีที่ต้องทนกับ การเป็นอัมพาต ทำทุกวิถีทางจนเอาชนะมันมาได้ และเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักของใครหลายๆคนในชุมชน แม้จะถูกสังคมปรามาสว่าเป็นผู้พิการ เป็นภาระสังคม แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะพยายามจนไม่เป็นภาระของใครๆ

บ้านไม้โทรมๆที่ไร้ไฟฟ้า ผืนดินทางเข้าบ้านที่เดิมเคยเป็นชายหาดชายทะเลมาก่อน ทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยเศษเปลือกหอยที่ดารดาษปะปนกับเม็ดทราย พุ่มไม้น้อยๆข้างบ้านดูจะรกเรื้อมานาน ไร้ผู้คนดูแลแทบจะกลายเป็นป่ารกขนาดย่อม โอ่งปูนสี่ห้าใบคอยรองน้ำฝนเก็บไว้กินไว้ใช้ บ้านช่องมีของใช้ระเกะระกะอยู่หน้าชาน ที่มีเพียงฝากั้นไว้หน่อยแยกออกเป็นห้องครัวสมัยโบราณ หม้อ กระทะ ก้นดำที่บอกถึงระยะเวลาในการใช้ เตารังผึ้งที่สำหรับหุงข้าวต้มแกงตามปกติ ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อน ราวแขวนเสื้อมากมายหลากสีสันที่เรียงรายบนเส้นเชือกที่ผ่านฝาบ้าน บ้านเงียบเชียบ เหมือนไร้ผู้คน พยาบาลเวชฯวัยกลางคน ได้ไขกระจกรถตะโกนถามบ้านฝั่งตรงข้าม ว่าเห็นเจ้าของบ้านหรือไม่ คำตอบที่ได้รับชวนฉงน "ออกไปเดินเล่น เดี๋ยวคงกลับมา ถ้าอยากเจอเดี๋ยวจะขับรถไปรับกลับมา" กำลังนึกสงสัยว่าเรากำลังเข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่า การมาเยี่ยมบ้านครั้งนี้คือมาเยี่ยมบ้านคนพิการอัมพาตมิใช่หรือ แต่ไฉนจึงได้เดินออกไปเสียหลายกิโลเมตร ไม่นานนัก เพื่อนบ้านก็กลับมาพร้อมกับเจ้าของบ้าน หญิงชราวัย 65 ปี ผมหงอกแซมเสียขาวโพลน หน้าตายิ้มแย้ม ดีใจที่มีคนมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน บอกถึงความมีสุขภาพดี พวกเราต่างยกมือไหว้ หญิงชราก็ค่อยๆใช้มือซ้ายช้อนมือขวาออกมารับไหว้อย่างเบิกบานใจ พร้อมกับชี้เชิญให้เข้าไปนั่งในบ้าน

หลายปีแล้วที่เธออยู่ในสภาพเช่นนี้ ทุกครั้งที่ให้เล่าย้อนประวัติความเจ็บป่วย น้ำตาที่พร้อมจะเอ่อล้นก็ไหลปริ่มจนต้องใช้มือป้ายเช็ดทุกครั้งที่บรรยายถึง ความเจ็บช้ำน้ำใจจากสังคมภายนอก ที่เคยดูแคลนว่าเป็นผู้พิการ ครั้งหนึ่งเคยท้อแท้หมดสิ้นกำลัง คิดว่าตายแน่แล้ว สุดท้ายกลับได้รับการช่วยเหลือจากคลินิกใกล้ใจที่เหมือนแสงสว่างที่คอยช่วยเหลือมาตลอด7ปี พร้อมทั้งเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนสามารถ "เบื่อที่จะท้อแท้" และกลับมาสู้ต่อไป อย่างไม่ลดละ ราวหน้าบ้านที่เพื่อนบ้านช่วยกันสร้างไว้ให้เกาะยืนเพื่อฝึกกายภาพ ไม้เท้าที่กลุ่มชมรมผู้สูงอายุช่วยกันทำให้ เงินงบประมาณสนับสนุนผู้พิการจากอบต.ที่ทุกคนในชุมชนช่วยกันยกมือโวตให้มอบเงินก้อนนี้แด่เธอผู้ไม่แพ้ เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ชุมชนแห่งนี้ช่วยเหลือดูแลกันมากสักแค่ไหน ทุกวันนี้ คุณกมลพรสามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า ทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึงพาผู้อื่น รวมไปถึงงานบ้านต่างๆ ทำกับข้าว ซักผ้ากวาดบ้าน ยกถังน้ำ หรือแม้กระทั่งการไปช่วยงานของคนในชุมชน ขนทรายเข้าวัด งานทำบุญต่างๆ การทำประชาคมหมู่บ้าน ฯลฯ จนผู้สูงอายุปกติยังยอมแพ้

ไปเยี่ยมบ้านครั้งนี้ได้อะไรกลับมาหลายอย่าง ทั้งกำลังใจในชีวิต การฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ความไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา และความสำคัญของการช่วยเหลือของคนในชุมชน ความรักใคร มิตรภาพดีดีของผู้คนที่จะช่วยเหลือและทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ ความช่วยเหลือของแต่ละฝ่ายที่ต้องเกื้อกูลกันจึงจะประสบความสำเร็จ ทีมงานเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง ไม่ทอดทิ้ง ย่อมเป็นผลประโยชน์ระยะยาว องค์ประกอบหลายๆอย่างนี้เองที่จะทำให้เราได้ดูแลคนไข้อย่างเป็นองค์รวมทั้งกาย จิต สังคม อารมณ์ ปัญญา

ขอบคุณคุณกมลพรที่สอนเราให้รู้จักความเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความเรียบง่ายของชีวิต แม้ลำบากก็จงคิดแต่สิ่งที่ดี "ดีพะยะค่ะ" อะไรๆก็ดีทั้งนั้นแหละที่เข้ามาให้เราได้เจอะเจอ ทุกอย่างทำให้เราได้พัฒนามากขึ้น แค่ความคิด ก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ จากที่หม่นหมอง อึมครึม กลับสดใสขึ้นมาทันตาเห็น

ขอบคุณทีมงานคลินิกใกล้ใจที่เข้ามานั่งอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พร้อมกับสอนประสบการณ์ต่างๆที่ทำให้เป็นมากกว่าคำว่าหมอ แต่เป็นคนที่มีจิตใจงามเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ทุกวันนี้ผมยังไม่เคยคิดว่าผมเป็นหมอเลยสักครั้งเดียว ยังรู้สึกว่าตนเองเป็นคนธรรมดาๆ และที่นี่ยิ่งทำให้คนธรรมดา กลายเป็นคนที่เต็มตัวมากขึ้น พร้อมที่จะให้ได้อย่างมีความสุข..... "นี่คงเป็นสุขที่แท้จริงที่เราค้นหา สุขที่ได้ให้" ตลอดมาผมเชื่อนะว่าใครทำอะไรย่อมได้เช่นนั้นตอบแทน วันนี้ก็ยิ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าให้ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงามต่อไป ผลตอบแทนอย่างไรก็ย่อมได้ดี แม้ว่าจะนานแสนนาน แต่อย่างไรก็ต้องได้ ถึงจะพ่ายแพ้ล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร สู้ต่อไปทาเคชิ

หมดเรื่องราวดีดีข้อคิดสอนใจ โลกใบนี้ย่อมมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน มีดีมีร้ายสลับกัน ตกค่ำเรื่องร้ายๆก็วนเวียนมาถึง เสียงตะโกนเรียกพวกเราจากหน้าบ้านก็ดังขึ้น ปริญญาเป็นตัวแทนที่ชะโงกหน้าออกไปว่าใครเป็นคนเรียก อ้อ...พี่ที่รับซักผ้านั้นเองมีอะไรหรือ??? สรุปใจความได้ว่า พี่เค้ามาถามว่าเราอยู่กันกี่คนทำไมถึงส่งผ้าเยอะเหลือเกิน ไม่เหมือนรุ่นก่อนๆ พอบอกว่า อยู่7 คนแต่ส่งผ้า 6 คนเพราะก้องกริ๊ซักรีดเอง(เป็นพ่อบ้านผู้น่ารัก) พี่เขาก็บอกว่าเนี่ยะ พี่นับแล้วรวมที่เก็บผ้าไปทั้งหมดน่ะ 206ชิ้นแล้วนะ ครั้งล่าสุดที่ส่งนับได้ 91ชิ้น ขอขึ้นค่าซักรีดที่ตอนแรกจะเก็บสัปดาห์ละ 100 บาท เป็นสัปดาห์ละ 200 บาทแทน ด้วยตอนนั้นเพื่อนๆไม่อยู่บ้านกันไปใช้เน็ตทำงานที่ห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลปริญญาจึงบอกปัดไปก่อนว่าจะบอกเพื่อนให้แล้วค่อยบอกพี่พรุ่งนี้ อาจจะฟังดูแล้วไม่เห็นจะมีอะไร แต่ขอโทษเถอะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเก็บ 200 บาทต่อคน ได้ข่าวว่ามารับผ้าไปเพียง3รอบ เพื่อนบางคนส่งผ้าไปแค่ครั้งเดียว ไม่เกิน15 ชิ้นด้วยซ้ำ ต้องมาจ่าย 200 บาทจะมากเกินไปหรือเปล่า มานั่งนับกันแล้วไม่ถึงด้วยซ้ำไป ครั้งล่าสุดที่ซักกับพี่เค้าไปที่บอกว่า 91 ชิ้น (รุ่งขึ้นพี่เค้าก็เอากระดาษฉีกใบเล็กๆมาให้ดูว่านับได้เช่นนั้นเป็นตัวเลข 91ที่พี่เค้าเขียนขึ้นมา) นับแล้วนับอีกก็ได้แค่สี่สิบกว่าชิ้น ห่างกันจากการเก็บผ้าครั้งที่สองแค่ 2-3วันจะมีผ้าที่จะส่งซักรวมกัน 91ชิ้นเลยหรือ??? เกินไปแล้วนะ แต่ด้วยความใจดีของเพื่อนๆหรืออย่างไร จึงตัดสินใจที่จะยอมจ่ายเพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเพราะพี่เค้าก็เป็นจนท.โรงพยาบาลยังต้องอยู่ด้วยอีก 1 สัปดาห์ น้ำตาแทบร่วงมีมั๊ยส่งผ้า 15 ชิ้น 260 บาท ชิ้นนึงกี่บาทเนี่ยะลองนับดู แล้วคงไม่ซักต่อเก็บผ้ากลับมาซักที่หอดีกว่าอีกห้าวันเอง แต่แล้วความไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกรอบเพราะว่าวันที่ไปจ่ายคือวันนี้ วันศุกร์ เพื่อนที่ไปจ่ายแทนที่จะต้องจ่าย 1200 บาท เพราะว่า 200 x 6 =1,200 บาท พี่เค้ากลับบอกว่าเป็น 1,600 บาทขาดตัว แล้วมันมาจากไปนอีกล่ะ 400 บาท งงมาก ... ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนถึงยอมโดนโกง ไม่กล้าเข้าไปยุ่งมากนักหรอก เพราะว่าซักเองรีดเอง เดี๋ยวจะโดนหาว่ายุ่งอีก เพราะช่วงนี้ดูจะเป็นคนขี้โวยวายและ ชอบfight ในสายตาเพื่อนๆไปเสียแล้ว เอาเถอะๆ เพื่อนๆจากโรงพยาบาลอื่นลองคิดดูเอาเองแล้วกันนะว่าเรื่องแบบนี้สมควรยอมหรือไม่ ถ้ายอมเพราะสาเหตุใด หรือไม่ยอมเพราะสาเหตุใด บอกกันได้

ข้อคิดเตือนใจ เรื่องเล็กๆน้อยๆยอมได้ก็ยอมกันไป แต่บางเรื่องถ้าเกินความเป็นจริงไปมากๆก็หัดที่จะผดุงความยุติธรรมให้กับตนเองบ้างก็ดี ไม่ต้องสร้างภาพให้ดูดีทุกเรื่องหรอก เหนื่อยเปล่า ผิดเป็นครูก็จริง แต่ผิดแล้วกระทบตังค์พ่อแม่แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ไม่ได้ผลิตเงินได้เอง มาเรียนรู้ ไม่มีคนดูแลก็ยังไม่เป็นไรเพราะโตแล้วดูแลตัวเองได้ แต่ยังมาโดนเอาเปรียบแบบนี้อีก รับไม่ได้มากมาก แต่ก็ "ดีพะยะค่ะ" ได้เรียนรู้สัจธรรมชีวิต เชื่อเสมอว่าใครทำอะไรไว้ย่อมได้สิ่งนั้นกลับคืนมาเสมอ ไม่ได้จะสาปแช่งหรืออะไร แต่มันเป็นเหตุและผล เป็นธรรมดาโลก ต้องยอมรับ

ชลันธรี

1 comment:

noppawan said...

คิดถึงเพื่อนๆๆ จัง