Wellcome to EBM group

ยินดีต้อนรับน้องๆทุกคนค่ะ ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเรียนEvidence Based Medicine ของภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชนโรงพยาบาลหาดใหญ่


Staffs


14/07/2009

บันทึกรักcororanod

สวัสดีวันอังคาร...
หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว แต่รู้ตัวอีกทีฟ้ายังมืดอยู่ แว่วเสียงรายการโทรทัศน์ หรืออะไรสักอย่างเบา ในใจคิดว่าคงเผลอหลับไปเดี๋ยวเดียว ทุกคนคงกำลังดูโทรทัศน์อยู่ห้องข้างๆ เพราะว่าข้างๆตัวเราไม่มีใครนอนอยู่เลย หยิบ นาฬิกาขึ้นมาดู กลับต้องตกใจเพราะนี่เป็นเวลาห้านาฬิกา ของเช้าวันใหม่ เป็นเวลาแห่งดอกไม้บานและที่สำคัญเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แม้ว่าจะงัวเงียอยู่ไม่น้อย แต่พอได้ลุกเข้าห้องน้ำกลับตื่นเต็มตา อาบน้ำแต่งตัว ยังเช้าอยู่มาก และที่สำคัญยังไม่มีใครตื่นนอนเลย
หลังจากอยู่มาห้าวัน ก็เริ่มที่จะปรับตัวได้ ตลอดคืนไม่รู้สึกเลยว่าโดนยุงร้ายตอมหรือกัดจนต้องทำทานบริจาคโลหิตเหมือนที่ผ่านมา จากการพิสูจน์แล้วว่าตะไคร้หอมใช้กับยุงที่นี่ไม่ได้ผลต้องเป็นซอฟท์เฟลแบบน้ำใสฉีดพ่นตามร่างกายนี่แหละ work สุดๆแล้ว และที่สำคัญไม่ต้องกังวลกับยุงอีกต่อไปเพราะไม่ว่าอย่างไรยุงที่นี่ก็มากมายเช่นนี้เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะใต้พื้นของโรงพยาบาลเป็นแอ่งน้ำตัวโรงพยาบาลเองตั้งอยู่บนพื้นน้ำ (จากคำบอกเล่า) เพราะฉะนั้นก็ต้องทำใจกับเจ้ายุงทั้งหลาย
เช้านี้แป๊กกับแปดไปราวด์ก่อนที่จะออกไปCMU มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกใจ และกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัวไม่น้อย ขณะที่กำลังราวด์อยู่ในวอร์ดเล็กๆ ทางเดินแคบๆที่จะผ่านไปได้เพียงไม่กี่คน ทั้งนศพ.แพทย์พี่เลี้ยง Extที่มาฝึกงานอยู่ ก็มากมายเสียเหลือเกิน แพทย์อาวุโสท่านหนึ่งได้เดินผ่านกลุ่มนั้นไป ต่างคนพยายามหลีกทางให้เท่าที่เป็นไปได้ แต่แล้วแพทย์อาวุโสท่านนั้นก็เดินกลับมาพร้อมกับคำพูดที่ว่า
“คุณควรที่จะให้เกียรติแพทย์รุ่นพี่บ้าง ควรที่จะหลีกทางบ้างมีสัมมาคารวะหน่อย” อะไรประมาณนี้ มองหน้าด้วยความงงๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร หรือมาด้วยอารมณ์ไหน จากเหตุการณ์นี้ก็ออกจะทำให้เกิดความขุ่นข้องใจ การปรับตัวที่จะอยู่ในชุมชนไม่เพียงแค่ปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมชนบท คนไข้ ยังต้องให้ความเคารพ มีสัมมาคารวะอย่างยิ่งกับแพทย์รุ่นพี่ และไม่ต้องคิดมากกับคำพูดคนอื่นเพราะว่าดูจะทำร้ายจิตใจให้เราขุ่นมัว อาจจะมีบ้างที่ติเพื่อก่อ แต่บางอย่างที่ไร้สาระก็ไม่ควรจะเก็บมาไว้ในอก
ไปออกทำงานที่คลินิกเวชเช่นเดิม ตรวจผู้ป่วยไปได้สักสองชั่วโมง พี่พยาบาลก็ชวนให้ไปยังชมรมผู้สูงอายุ ที่มีการประชุมกันทุกเดือน ดูผู้สูงอายุที่นี่คึกคักจริงๆเลย มีการทำกิจกรรมต่างๆมากมาย ทั้งพูดคุยกันเองในกลุ่ม มีการตรวจสุขภาพ วัดความดันโลหิต รวมถึงการให้ความรู้โดยบุคลากรทางการแพทย์ วันนี้ก็เช่นกัน มีการให้ความรู้จากพี่จากกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลระโนด ไปให้ความรู้เรื่องข้อเข่าเสื่อม และวันนี้พวกเราก็ต้องรับหน้าที่ตรวจวัดความดัน advice คุณลุงคุณป้าคุณตาคุณยาย ในการควบคุมความดันโลหิต คุมน้ำตาลเบาหวานเป็นต้น แอบดีใจไม่น้อย คุณยายหลายคนชมว่า หมอน่ารักจัง...ยกมือไหว้ก่อนด้วย พูดก็หวานเพราะจัง แอบดีใจลึกๆเหมือนกัน และดูจะมีแรงในการทำงานไปอีกนานตลอดวัน จริงๆแล้วก็ได้เรียนรู้มาจากพี่หมอที่โรงพยาบาลชุมชนตอนที่ไปselectiveปี4ว่า ยังไงเสียเรายกมือไหว้เขาก่อนไม่ได้น่าเกลียดอะไรเสียหน่อย ดีเสียอีกโดยเฉพาะคนมีอายุเค้าจะเห็นว่าเราน่ารักน่าเอ็นดู
ชมรมผู้สูงอายุที่นี่ เป็นของตำบล ระโนดที่รับผิดชอบโดยคลินิกเวชปฏิบัติ เป็นผู้ก่อตั้งได้ประมาณ 3 ปีแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้มีแต่ชมรมของโรงพยาบาลระโนดแต่ระยะหลังได้แยกออกมาในแต่ละตำบลแยกจัดออกมา มีการประชุมทำงานดำเนินการกันเองในสมาชิกชมรม เข้มแข็งมากๆ เลยเชียว ส่วนอาหารว่างในการทำกิจกรรมก็ได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาล
เที่ยงนี้คนขับรถลืมมารับอีกแล้ว... พี่พยาบาลก็นั่งรอพวกเรากลับ เพื่อจะกินก๋วยเตี๋ยวที่พองจนเส้นอืดแล้วอืดอีก ที่จริงเราน่าจะกินกับพวกพี่ๆเค้าไปกันเลย
บ่ายนี้กลับมาเข้าประชุมอสม. งานนี้เล่นเอาเราอึ้งกันไปเลย เพราะว่าพี่ๆ ก็บอกว่า เดี๋ยวให้น้องหมอสองคน ช่วยพูดเรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 และ ไข้ปวดข้อ ชิคุนกุนย่า หลังจากบอกได้3นาทีก็ให้เราสองคนออกโรงพูดกันเลย เรียกรอยยิ้มจากกลุ่มอสม.ได้ไม่น้อย อสม.ที่รับผิดชอบโดยคลินิกเวชฯเป็นของหมู่ 1 2 3 4 6 รวมแล้ว 126 คน มีงบประมาณสนับสนุนเดือนละ 600 บาทอีกด้วย แต่ว่างานนี้ต้องใช้ใจทำกันไม่น้อยเพราะค่าตอบแทนอันน้อยนิดเทียบแล้วไม่คุ้มค่ากันเลยทีเดียว อสม.จะมีประชุมใหญ่ทุกวันที่13ของเดือน แต่ดูเหมือนวันนี้จะล่าช้าไปหน่อย ก็มีการตกลงในการส่งรายงานปฏิบัติงานของอสม. การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่ควรป้องกันระวัง และดูแลเฝ้าระวังในชุมชนหากพบก็ต้องรีบรายงานเจ้าหน้าที่ และพร้อมกับรับเงินเดือน กว่าจะประชุมเสร็จก็สี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว ได้เวลากลับแล้วล่ะครับ ทำให้งานตอนบ่ายเราดูไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
บรรยากาศยามเย็น สายลมพัดผ่านโบกดอกบัวให้โยกไหว แสงแดดที่ดูอ่อนล้า พระอาทิตย์คงจะเหนื่อยที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน เสียงขิมดังก้องในศาลาริมน้ำ เด็กๆ6 -7 คนที่กำลังรุมล้อม คุณหมอหน้าเด็กที่กำลัง บรรเลงเพลงไทยอย่างไพเราะสอดเสนาะไปกับเสียงของสายลม ค่ำแล้ว กลับเข้าบ้านรีดผ้า ทำงานบ้าน อุทิศตัวเพื่อปวงชนกันต่อไป....

2 comments:

korakot said...

อ่านแล้วนึกถึงตอนที่เป็นนศพ.

ปล.ส่งรูปมาให้ดูบ้างก็ดีนะครับ

i_bow_114 said...

แก พระพุทธ ตรัสรู้ตอน ตี ห้า จิงรือ??